บทเรียนจากชัยชนะของเวียดนามต่อโควิด-19
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 ประเทศเวียดนามมีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 268 ราย และไม่มีผู้เสียชีวิต เวียดนามรักษาผู้ป่วยได้สำเร็จ จำนวน 201 ราย ตรวจหาเชื้อไปแล้ว จำนวน 206,253 ราย และที่ถูกกักกันอีก จำนวน 62,998 ราย แม้ว่าเวียดนามจะเป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด ระบบสาธารณสุขไม่ดี และมีพรมแดนเชื่อมต่อกับประเทศจีน แต่ประเทศเวียดนามก็ประสบความสำเร็จในการจัดการกับโรคระบาดนี้
บทเรียนจากชัยชนะของเวียดนามต่อโควิด-19 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 ประเทศเวียดนามมีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 268 ราย และไม่มีผู้เสียชีวิต เวียดนามรักษาผู้ป่วยได้สำเร็จ จำนวน 201 ราย ตรวจหาเชื้อไปแล้ว จำนวน 206,253 ราย และที่ถูกกักกันอีก จำนวน 62,998 ราย แม้ว่าเวียดนามจะเป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด ระบบสาธารณสุขไม่ดี และมีพรมแดนเชื่อมต่อกับประเทศจีน แต่ประเทศเวียดนามก็ประสบความสำเร็จในการจัดการกับโรคระบาดนี้ ประเทศเวียดนามใช้มาตรการเชิงรุกตอบสนองอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้นด้วยวิธีการแบบผสมผสานเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ด้วยการใช้วิธีการตามรอยผู้ติดเชื้อ การตรวจหาเชื้อ การแยกตัวผู้ป่วย และการรักษาอย่างกว้างขวาง ร่วมกับการบังคับใช้นโยบาย เสริมสร้างความรู้ในชุมชน เพิ่มทรัพยากรทางสังคม และส่งเสริมพฤติกรรมของชุมชนในเชิงบวก โรคโควิด-19 กลายเป็นประเด็นความสำคัญอันดับแรกของรัฐบาลในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และได้มีการประกาศการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วประเทศในต้นเดือนเมษายนเพื่อสะท้อนถึงสิ่งนี้ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม มีการระงับการเดินทางเข้าประเทศเวียดนามของชาวต่างชาติทุกคน ชาวเวียดนามทุกคนที่เดินทางกลับเข้าประเทศจะต้องถูกกักตัวโดยรัฐบาลกลาง ผู้โดยสารในเที่ยวบินจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกคน โรงแรม หอพัก และวิทยาเขตทหารได้ถูกคัดเลือกให้เป็นศูนย์กักกัน เที่ยวบินที่มีผู้ป่วยติดเชื้อจะถูกประกาศสู่สาธารณชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อการตามรอยผู้ติดเชื้อและให้รายงานตนเอง การกักกันยังถูกนำไปใช้กับชุมชนขนาดใหญ่ที่มีการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้ออีกด้วย ประเทศเวียดนามประสบความสำเร็จในการพัฒนาชุดทดสอบโควิด-19 ในเดือนมีนาคมเพื่อคัดกรองผู้ป่วยที่ต้องสงสัย อีกทั้งยังได้ทำการตรวจหาเชื้อฟรีสำหรับผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบิน และจำเป็นจะต้องมีใบรับรองสุขภาพประกอบสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยถาวรทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศ การระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อไม่นานมานี้ ในโรงพยาบาลแบ็กมาย (Bach Mai Hospital) กรุงฮานอย ซึ่งเป็นสถานที่ที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดของประเทศถึง 44 ราย ได้มีการขยายวิธีคัดกรองจากการคัดกรองเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเป็นการคัดกรองหมู่มาก ด้วยการจัดตั้งสถานีชั่วคราวจำนวน 10 สถานี ในบริเวณพื้นที่โดยรอบ รวมถึงมีการตรวจหาเชื้อที่บริเวณตลาดค้าส่งอีกด้วย นอกจากนี้ ร้านขายยาจะต้องรายงานหากมีคนมาขอซื้อยาแก้หวัดที่ร้าน โรงพยาบาลสนามหลายแห่งได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ มีการ นำนวัตกรรมมาใช้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถฆ่าเชื้อในห้องและส่งเสบียงไปยังหอผู้ป่วยแยกโรค การให้การศึกษาชุมชนถูกใช้เป็นมาตรการป้องกัน ข้อความเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ถูกส่งไปยังผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวน 38.44 ล้านคน พร้อมกับให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในขณะที่ผู้ใช้สื่อออนไลน์จำนวน 65 ล้านคน ในเวียดนามกำลังแพร่กระจายการรับรู้ด้วยการส่งต่อวิดีโอ เช่น เพลงการล้างมือ ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ในขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา (CDC) แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ และองค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางปฏิบัติอยู่นั้น เวียดนามได้ออกนโยบายการสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะทั้งหมดมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม รวมทั้งการส่งออกหน้ากากอนามัยจะต้องมีใบอนุญาตสำหรับการส่งออก และได้มีการประกาศบทลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดกฎการป้องกันโรคโควิด-19 และความผิดที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น การใช้บทลงโทษสถานหนักแก่ผู้ค้าปลีกที่ปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม การปิดบังอาการป่วยโรคโควิด-19 การแพร่กระจายข่าวปลอม เป็นต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่เกษียณแล้ว นักเรียนนักศึกษา และอาสาสมัครที่จะช่วยต่อสู้กับโรคโควิด-19 มีตู้เอทีเอ็มข้าว หน้ากากอนามัย และเสบียงแจกฟรีให้กับผู้คนบนท้องถนน อาสาสมัครได้ทำอาหารแจกฟรีให้กับบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งมีการรวบรวมเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนความพยายามในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เสนอว่าเวียดนามกำลังจัดการกับการระบาดของโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี แต่กรุงฮานอยยังคงเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมโรค แม้การระบาดครั้งล่าสุดและใหญ่ที่สุดที่โรงพยาบาลแบ็กมาย (Bach Mai Hospital) จะอยู่ภายใต้การควบคุมได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาของการติดเชื้อได้ อีกทั้งยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่กระจายในชุมชนและทำให้เกิดการระบาดในท้องถิ่นเพิ่มขึ้นดังเช่นที่พบในสาธารณรัฐเกาหลี การควบคุมการระบาดที่โรงพยาบาลแบ็กมายจำเป็นจะต้องปิดพื้นที่ มีคนทั้งหมด 24,461 คน ที่ต้องถูกติดตามและคัดกรองเกี่ยวกับการระบาดของโรคนี้โดยเฉพาะ ความพยายามในการรักษาระยะห่างทางสังคมทั่วประเทศที่เริ่มในวันที่ 1 เมษายน กำลังแสดงผลในเชิงบวก แต่ด้วยระยะเวลาการฟักตัวที่ยาวนานของโรคโควิด-19 จึงต้องเพิ่มการรักษาระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชนอย่างสมบูรณ์และให้เวลาที่เหมาะสมในการตรวจหาผู้ป่วยรายใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนสถานการณ์จำลองการปิดเมือง เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เวียดนามพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาสวัสดิการสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนจนและผู้ว่างงาน การเลือกเวลาที่เหมาะสมเพื่อผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่เข้มงวดของเวียดนามเป็นประเด็นสำคัญ จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมอาจทำให้ประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อรอบที่สอง การสร้างความมั่นใจในการจัดระเบียบสังคมและความปลอดภัย การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อช่วยในการทำงาน รวมถึงการให้การรับรองได้ว่าชุมชนจะให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและการรักษาความปลอดภัยทางสังคมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นสำหรับประเทศเวียดนาม ในการรักษาความสำเร็จในปัจจุบันในการต่อสู้กับโรคโควิด-19