ภยันตรายของแอฟริกาเปลี่ยนไปจากวิกฤตสุขภาพเป็นวิกฤตด้านอาหารได้อย่างไร
ลากอส (รอยเตอร์) – ในรัฐเบนเว (Benue state) ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของประเทศไนจีเรีย กำลังเผชิญกับปัญหาการไม่สามารถขนย้ายข้าวเปลือกจำนวนมากที่มีอยู่เพื่อทำการซื้อขายได้เนื่องจากมาตรการปิดเมือง
ภยันตรายของแอฟริกาเปลี่ยนไปจากวิกฤตสุขภาพเป็นวิกฤตด้านอาหารได้อย่างไร ผู้รายงาน: Libby George ตีพิมพ์: Reuters เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 ลากอส (รอยเตอร์) – ในรัฐเบนเว (Benue state) ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของประเทศไนจีเรีย กำลังเผชิญกับปัญหาการไม่สามารถขนย้ายข้าวเปลือกจำนวนมากที่มีอยู่เพื่อทำการซื้อขายได้เนื่องจากมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพราะโรคโควิด 19 (COVID-19) ถึงแม้ว่ารถบรรทุกอาหารควรจะได้รับยกเว้นจากมาตรการเข้มงวดของการปิดเมือง แต่คนขับรถต่างกลัวความปลอดภัยของตนเอง และกลัวว่าพวกเขาจะถูกปรับหรือจับโดยตำรวจที่เข้มงวดเกินไป โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดของแอฟริกานี้ สะท้อนให้เห็นทั่วทั้งภูมิภาคแอฟริกาเขตตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา หรือ Sub-Saharan Africa ที่ประกอบด้วย 48 ประเทศ กรณีตัวอย่างจากบริษัท Kobo360 บริษัทรถบรรทุกขนส่งสินค้ากล่าวว่า ร้อยละ 30 ของจำนวนพาหนะของบริษัทที่ทำการในประเทศไนจีเรีย เคนยา โตโก กานา และยูกันดา ไม่ได้ดำเนินการอันเป็นผลมาจากการปิดเมือง เป็นเหตุให้พืชผลเน่าเปื่อยอยู่ในทุ่งนาหรือในโกดังเนื่องจากรถบรรทุกเข้ามาขนสินค้าไม่ได้ ขณะเดียวกันเจ้าของโรงสีก็ไม่สามารถนำส่งข้าวสารออกไปให้กับผู้ซื้อได้ ซึ่งปัญหาสำคัญคือความไม่ชัดเจนของมาตรการว่าพาหนะอะไรที่สามารถดำเนินการได้ หรืออะไรคือการขนส่งที่จำเป็น รถบรรทุกขนส่งอาหารโดนตรวจที่ด่านทางถนนระหว่างการปิดเมืองเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ในกรุงอาบูจา ไนจีเรีย เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 (รอยเตอร์/Afolabi Sotunde) ในขณะที่พืชผลและประสิทธิภาพด้านอาหารภายในประเทศเสียไป การนำเข้าสินค้าที่ภูมิภาคต้องพึ่งพิงก็หยุดชะงักลงเนื่องจากประเทศผู้ผลิตที่สำคัญ ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม และกัมพูชา ต่างลดหรือยกเลิกการส่งออกข้าวเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าประเทศของตนจะมีอาหารเพียงพอต่อการรับมือกับการแพร่ระบาด นอกจากนี้ ความขาดแคลนดังกล่าวได้ส่งผลให้ราคาอาหารวัตถุดิบหลักของไนจีเรียสูงขึ้นจนอยู่เหนือการเอื้อมถึงของประชาชนบางกลุ่มนับตั้งแต่การประกาศปิดเมืองใน 3 รัฐ เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 จนกว่าจะควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสได้ ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) และธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า ประชาชนหลายล้านคนในภูมิภาคนี้ต่างอยู่ในความเสี่ยงของการได้รับอาหารที่จำเป็นเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา โดยธนาคารโลกออกมาเตือนว่า ภูมิภาคแอฟริกาเขตตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา (Sub-Saharan Africa) ซึ่งเป็นภูมิภาคที่นำเข้าข้าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงจากวิกฤตทางด้านสุขภาพเป็นวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร (Food security crisis) ขณะที่องค์การสหประชาชาติกล่าวว่า สถานการณ์ไวรัสโคโรนาจะทำให้ผู้คนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่าตัวมากถึง 265 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้ กองทุนสำรองทางยุทธศาสตร์ ไนจีเรียมีเมล็ดข้าวอยู่ในกองทุนสำรองที่ควบคุมโดยรัฐบาล จำนวน 38,000 ตัน ซึ่งจะต้องหาเพิ่มเติมอีกถึงจำนวน 100,000 ตัน ซึ่งเมื่ออ้างอิงจากกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (IFAD: International Fund for Agricultural Development) แห่งองค์การสหประชาชาติ พบว่าภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกและกลางมีสินค้าคงเหลือต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับการบริโภค ดังนั้นข้อจำกัดในการส่งออกของประเทศผู้ผลิตสำคัญจึงหมายถึงการขาดแคลนข้าวที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ถึงแม้ว่าไนจีเรียได้เพิ่มการผลิตข้าวภายในประเทศอย่างมากเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่จากการวิเคราะห์ของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA: United States Department of Agriculture) แสดงให้เห็นว่ายังคงมีการนำเข้าข้าวจำนวนมากถึงหนึ่งในสามของการบริโภค โดยในภูมิภาคแอฟริกาเขตตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา (Sub-Saharan Africa) ยังขึ้นอยู่กับการนำเข้าข้าวถึงร้อยละ 40 ของการบริโภค ซึ่งทำให้ประเทศเหล่านี้ตกอยู่ในความเสี่ยงของวิกฤตความมั่นคงทางอาหารมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออินเดีย ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก หยุดข้อตกลงการส่งออกฉบับใหม่เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2563 อีกทั้งการปิดเมืองและการหยุดชะงักหรือการขาดตอนของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruptions) ในประเทศปากีสถาน เวียดนาม และกัมพูชา ก็ทำให้การส่งออกข้าวที่มีอยู่เป็นไปอย่างจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น จากการที่มีข้าวเพียงจำนวนร้อยละ 9 ของผลผลิตทั่วโลกที่เป็นการซื้อขายระหว่างประเทศ ทำให้กระทบต่อราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องแน่ใจว่ามาตรการทางนโยบายที่ใช้จะไม่ทำร้ายคนยากจนในชนบทและประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ อ้างอิงจาก SBM Intelligence แพลตฟอร์มอัจฉริยะทางภูมิรัฐศาสตร์ชั้นนำของไนจีเรียระบุว่า ราคาข้าวนำเข้าบรรจุถุงในกรุงอาบูจาและเมืองลากอส สูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 7.5 ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2563 ในขณะที่ข้าวท้องถิ่นบรรจุถุงมีราคาแพงขึ้นประมาณร้อยละ 6-8 ห่วงโซ่ที่ถูกหัก (Broken Chains) การกว้านซื้อสินค้าอย่างตื่นตระหนก (Panic buying) และโครงการของรัฐบาลในการกระจายข้าวไปยังครัวเรือนที่มีรายได้น้อยในประเทศเคนยาทำให้ปริมาณข้าวสำรองหมดลง โดยหากแอฟริกาไม่มีการนำเข้าข้าวแล้ว จะทำให้ประเทศเฉพาะในแถบแอฟริกาตะวันออกเผชิญกับความขาดแคลนข้าวอย่างน้อยจำนวน 50,000-60,000 ตัน ภายในสิ้นเดือนเมษายน 2563 เนื่องจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ทั้งยังประสบกับโรคระบาดตั๊กแตนที่ทำลายพืชผลในแอฟริกาตะวันออกเป็นวงกว้าง ในส่วนของประเทศเซเนกัลซึ่งอยู่ในแอฟริกาตะวันตก มีการนำเข้าข้าวจำนวนลดลงประมาณร้อยละ 30 และมีการประเมินว่าเซเนกัลมีปริมาณข้าวเก็บไว้เพียงพอสำหรับระยะเวลาเพียง 2 เดือน ข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายภายในประเทศและความล่าช้าของการนำเข้าเป็นอุปสรรคต่อชาวนาไนจีเรีย และการผลิตจะตกต่ำลงหากรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรเลย โดยขณะนี้ไนจีเรียมีจำนวนเมล็ดพืชและสิ่งจำเป็นในการเพาะปลูกลดลงร้อยละ 20 จากระดับปกติ ซึ่งจะเพียงพอสำหรับทำการเกษตรกรรมพื้นที่จำนวน 1 ล้านเฮกตาร์ จากจำนวนทั้งหมดราว 30 ล้านเฮกตาร์ที่มีการเพาะปลูกโดยทั่วไป นอกจากนี้ ชาวนาไนจีเรียต่างกล่าวว่าการปิดเมืองขัดขวางกระบวนการตรวจสอบฟาร์มของธนาคารทำให้การเงินของพวกเขาอยู่ในความเสี่ยง และเป็นอุปสรรคต่อพวกเขาในการเดินทางเพื่อไปรับรถแทรกเตอร์สำหรับนำไปใช้เพาะปลูกซึ่งมักเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม รัฐบาลไนจีเรียจึงได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อลดผลกระทบด้านเกษตรกรรมจากไวรัสโคโรนา ซึ่งคณะทำงานนี้ได้จัดทำบัตรแสดงตนสำหรับผู้อยู่ในภาคเกษตรกรรมทุกระดับ ตั้งแต่คนงานในไร่นาไปจนถึงคนขับรถบรรทุก เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวนา เจ้าของโรงสี และผู้ซื้อขายในตลาดว่าสามารถดำเนินการได้ โดยกระทรวงเกษตรของไนจีเรียกำลังดำเนินงานเพื่อเพิ่มปริมาณเมล็ดพันธุ์พืชและสิ่งจำเป็นในการเพาะปลูกในท้องถิ่น และธนาคารกลางไนจีเรียจะพิจารณาขยายงบประมาณให้กับชาวนาไปพร้อมกัน