อินเดีย: นำประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียใต้รับมือกับโควิด-19 กับการประชุมระบบทางไกล
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ได้แสดงบทบาทนำต่อภูมิภาคเอเชียใต้ ด้วยการเชิญประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคเอเชียใต้
อินเดีย: นำประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียใต้รับมือกับโควิด-19 กับการประชุมระบบทางไกล ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 กำลังสร้างความวิตกกังวลและผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องให้แก่ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียใต้ นั้น นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ได้แสดงบทบาทนำต่อภูมิภาคเอเชียใต้ ด้วยการเชิญประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคเอเชียใต้ (The South Asian Association for Regional Cooperation หรือ SAARC) ทั้ง 8 ประเทศ มาร่วมประชุมผ่านระบบทางไกล (VDO Conference) เพื่อหาทางรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 นี้ร่วมกัน ซึ่งประกอบไปด้วย ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน อัชราฟ ฆานี, นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาสินา, นายกรัฐมนตรีภูฏาน โลเท เชอร์ริง, ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ อิบราฮิม โมฮัมเหม็ด โซลีห์, นายกรัฐมนตรีเนปาล คัดห์กา ปราสาด ชาร์มา โอลิ และประธานาธิบดีศรีลังกา โคฐาภยะ ราชปักษะ ประชุมผ่านหน้าจอร่วมกันในฐานะผู้นำประเทศ และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของปากีสถาน ซาฟาร์ มีร์ซา เข้าร่วมประชุมในฐานะตัวแทนของนายกรัฐมนตรี อิมรอน ข่าน การจัดการประชุมผ่านระบบทางไกลในครั้งนี้มีบทบาทและความสำคัญเป็นอย่างมากในการกระตุ้นความสัมพันธ์และความร่วมมือขององค์การ SAARC ที่ได้ชะลอตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ภายหลังความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานอย่างรุนแรงอันเป็นผลมากจากเหตุการณ์ Uri Attack ในปี พ.ศ. 2559 ซึ่งทำให้อินเดียประกาศไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ SAARC ที่จัดขึ้นในวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 2559 โดยมีรัฐบาลปากีสถานเป็นเจ้าภาพ ณ กรุงอิสลามาบัด ซึ่งหลังจากอินเดียประกาศไม่เข้าร่วมประชุม รัฐบาลภูฏาน เนปาล และอัฟกานิสถาน ก็ประกาศไม่เข้าร่วมประชุมเช่นกัน ทำให้ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบัน การประชุมสุดยอดผู้นำ SAARC ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย การเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี สำหรับการประชุมผ่านระบบทางไกลท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเจตนาดีของอินเดียที่ต้องการรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ให้มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันขณะที่ต้องเผชิญกับวิกฤตในครั้งนี้ร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม อินเดียมีความตั้งใจที่จะรักษาบทบาทความเป็นผู้นำในฐานะประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุด ในโลก ท่ามกลางการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคเอเชียใต้โดยเฉพาะกับปากีสถาน อินเดีย เสนอให้จัดตั้งกองทุนฉุกเฉินโควิด 19 (COVID-19 Emergency Fund) เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้ประเทศสมาชิกร่วมกันจัดตั้งทีมคณะแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญในชื่อทีมตอบสนองทันที เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อินเดียจะสร้างหลักสูตรอบรมเข้มข้นทางการแพทย์รวมทั้งจะแบ่งปันเทคโนโลยีระบบการตรวจคัดกรองเชื้อโรคแบบบูรณาการ ซึ่งใช้ในการสืบค้น เส้นทางการแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อให้กับประเทศสมาชิก SAARC อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าประเทศสมาชิกตอบรับทันที ด้วยการสนับสนุนเงินในกองทุนโดย ศรีลังกาสนับสนุน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บังคลาเทศ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนปาล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัฟกานิสถาน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มัลดีฟ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ และภูฏาน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ยกเว้นปากีสถาน ที่ดูเหมือนว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งกองทุนนี้ และเกิดความเคลือบแคลงว่าจะตอบสนองโครงการที่ริเริ่มของอินเดียนี้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม การจัดประชุมผ่านระบบทางไกลขององค์การ SAARC ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความคิดริเริ่มและเป็นการจัดตั้งกลไกในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระดับภูมิภาคเพื่อต่อสู้กับความท้าทายร่วมกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะฉะนั้นประเทศไทยเองก็สามารถที่จะแสดงบทบาทนำในระดับภูมิภาค ในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนให้เข้าร่วมกันประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ได้เช่นกัน