ผู้เชี่ยวชาญค้นพบว่าชาวอิหร่านเริ่มทำการเกษตรและการเพาะพันธุ์สัตว์เมื่อเก้าพันปีที่แล้ว
กรุงเตหะราน – กลุ่มนักโบราณคดีและนักวิจัยชาวอิหร่านพบว่าการทำการเกษตรและการเพาะพันธุ์สัตว์นั้นได้มีมานานกว่าเก้าพันปีที่แล้ว ในบริเวณโบราณสถานเทเป อารยัน ในเมืองซัลมาน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิหร่าน การค้นพบนี้มีขึ้นในระหว่างทำโครงการการกำหนดเขตแดนเพื่อปกป้องบริเวณซากโบราณสถานเทเป อารยัน โดย ISNA ได้อ้างคำพูดของนาย Afrasyab Geravand หัวหน้าโครงการ เมื่อวันอังคาร ปรากฏหลักฐานว่าเนินเขาอารยันและบริเวณโดยรอบเป็นหนึ่งในบริเวณการตั้งถิ่นฐานแห่งแรกและสำคัญที่สุดของมนุษย์ในช่วงเจ็ดพันปีก่อนคริสต์ศักราชซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิหร่าน ทั้งนี้นาย Geravand กล่าวเพิ่มเติมว่า มันแสดงให้เห็นว่าผู้ที่เคยอยู่อาศัยในพื้นที่นี้เคยเป็นเกษตรกรและผู้เพาะพันธุ์สัตว์ เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวประจำท้องถิ่นกล่าวว่า ในบริเวณนี้ มีการค้นพบหินต้นกำเนิดที่เรียกว่า “mother rocks” และเครื่องมือที่ทำจากหินออบซิเดียนหรือหินภูเขาไฟซึ่งมีสีที่แตกต่างกันเจ็ดสี ดาบ ปืนครก และเครื่องใช้ที่ทำจากหิน โดยก่อนหน้านี้นาย Geravand กล่าวว่า ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิหร่าน เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างที่ราบสูงอิหร่าน, คอเคซัส, เอเชียไมเนอร์ และเมโสโปเตเมีย ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในเชื่อมความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเสมอมา ซึ่งเขาอธิบายว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยโบราณเนื่องจากมีระบบลำน้ำถาวร น้ำพุธรรมชาติ ทรัพยากรสัตว์และพันธ์พืชต่าง ๆ มากมาย รวมถึงมีพื้นดินและทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์ของเกษตรกรรมเป็นเรื่องราวการพัฒนาของมนุษยชาติและอบรมบ่มเพาะกระบวนการในการผลิตอาหารการเลี้ยงสัตว์ สิ่งทอ พลังงาน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ ซึ่งก่อนที่จะมีการพัฒนาการปลูกพืช มนุษย์เริ่มต้นจากการเป็นนักล่าสัตว์ที่มีลักษณะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งความรู้และทักษะการเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลดินและการปลูกพืชทำให้สังคมมนุษย์พัฒนาขึ้น ส่งผลให้กลุ่มและเผ่าต่าง ๆ สามารถอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งรุ่นต่อรุ่น หลักฐานทางโบราณคดีระบุว่าการพัฒนาดังกล่าวเกิดขึ้นมาหนึ่งหมื่นปีหรือมากกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ประมาณเจ็ดพันปีก่อนคริสตศักราช การหว่านเมล็ดพันธุ์พืชและการเก็บเกี่ยวมาถึงดินแดนเมโสโปเตเมียและบริเวณรอบ ๆ ในดินที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งทางตอนเหนือของอ่าวเปอร์เซีย โดยชาวสุเมเรียนใช้ภูมิปัญญาในการจัดระบบและขยายบริเวณการเพาะปลูกให้ใหญ่ขึ้น ประมาณหกพันปีก่อนคริสตศักราช มีการทำเพาะปลูกบนที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในขณะนั้น เกษตรกรรมถูกพัฒนาอย่างเสรีในภูมิภาคตะวันออกไกล เป็นไปได้มากว่าในประเทศจีนด้วย โดยมีการปลูกข้าวในฐานะพืชพื้นฐานมากกว่าข้าวสาลี เนื่องมาจากการพัฒนาทางด้านเกษตรกรรม ทำให้เมืองและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ และกลุ่มคนที่หลากหลายได้พัฒนาจนก่อให้เกิดความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์และวัฒนธรรม เกษตรกรรมกลายมาเป็นเรื่องสำคัญทางเศรษฐกิจมาหลายศตวรรษก่อนและหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม การพัฒนาอย่างยั่งยืนของแหล่งอาหารของโลกส่งผลต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ในระยะยาว ดังนั้นจึงต้องใส่ใจกับวิธีการทำเกษตรกรรมเพื่อให้แน่ใจว่าจะยังคงสอดประสานกับสภาพแวดล้อมนั้น