สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 3/61 โต 3.3% ชะลอตามอุปสงค์ต่างประเทศ คาดทั้งปีนี้โตตามกรอบล่างที่ 4.2%

สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 3/61 โต 3.3% ชะลอตามอุปสงค์ต่างประเทศ คาดทั้งปีนี้โตตามกรอบล่างที่ 4.2%

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/61 ขยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 4.6% เป็นไปตามอุปสงค์ภาคต่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 3/61 โต 3.3% ชะลอตามอุปสงค์ต่างประเทศ คาดทั้งปีนี้โตตามกรอบล่างที่ 4.2%   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/61 ขยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 4.6% เป็นไปตามอุปสงค์ภาคต่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่สภาพัฒน์ ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยทั้งปี 61 มาที่เติบโต 4.2% หรืออยู่ที่กรอบล่างของคาดการณ์เดิมที่ 4.2-4.7% เนื่องจากคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวเหลือเพียง 7.2% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 10% ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะเติบโต 16.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 15.4% นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 ตามการชะลอตัวของอุปสงค์ภาคต่างประเทศ ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น ส่วนด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งตัวขึ้นของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดยการบริโภคภาคเอกชน พบว่าในไตรมาสนี้ขยายตัวได้ 5% ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 22 ไตรมาส โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจ การดำเนินมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภค การใช้จ่ายซื้อสินค้าในหมวดคงทนขยายตัวเร่งขึ้น ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัว 2.1% โดยการใช้จ่ายในหมวดค่าใช้สอย เพิ่มขึ้น 4.5% และหมวดค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคม 14.5% อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 20.5% เทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งอยู่ที่ 21.7% ส่วนการลงทุนรวมในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 3.9% โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.9% สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส เป็นผลจากการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัว 3.4% การลงทุนในสิ่งก่อสร้างขยายตัว 5.4% ส่วนการลงทุนภาครัฐ ขยายตัว 4.2% เป็นผลจากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัว 9.9% และการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัว 0.7% ในขณะที่การส่งออกสินค้าชะลอตัวลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และการปรับตัวของผู้ประกอบการในต่างประเทศต่อมาตรการกีดกันการค้า ในด้านการผลิต พบว่าการผลิตสาขาก่อสร้างขยายตัวเร่งขึ้น สาขาการขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมแซมขยายตัวในเกณฑ์ดี ส่วนการผลิตภาคเกษตร สาขาอุตสาหกรรม สาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการขนส่ง และการคมนาคมชะลอตัว ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ 1% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ย.61 อยู่ที่ 204.5 พันล้านดอลลาร์ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ก.ย.61 อยู่ที่ระดับ 41.5% ของ GDP ซึ่งจากทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้แล้ว 4.3% นายทศพล กล่าวว่า สำหรับในปีนี้สภาพัฒน์คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.2% ซึ่งยังอยู่ในกรอบล่างตามที่สภาพัฒน์เคยประเมินไว้ในรอบที่แล้ว 4.2-4.7% โดยมีการปรับองค์ประกอบของการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับข้อมูลจริงในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 61 และการปรับเปลี่ยนสมมติฐานการประมาณการที่สำคัญ ดังนี้            1. เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณไว้ 2.การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายรับจากการท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าที่คาด ซึ่มีสาเหตุจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีนและยุโรป จากผลของเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต และการแข่งขันฟุตบอลโลกที่รัสเซีย ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าระบบการค้าและสายพานการผลิตระหว่างประเทศยังอยู่ในระหว่างการปรับตัว และสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ในกรณีที่ไม่มีมาตรการกีดกันการค้าเพิ่มเติม คาดว่าแรงกดดันดังกล่าวจะผ่อนคลายลงตามความคืบหน้าในการปรับตัวของระบบการค้าและสายพานการผลิตระหว่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากการขยายตัวเร่งขึ้นของมูลค่าการส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนต.ค. ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ในตลาดส่งออกมีแนวโน้มผ่อนคลายลงเมื่อรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการเริ่มปรับตัวดีขึ้นของปริมาณการจำหน่ายรถยนต์กระบะที่มีการนำเข้าจากประเทศไทยในตลาดออสเตรเลียเดือนต.ค.             2. การปรับเปลี่ยนสมมติฐานประมาณการที่สำคัญ เช่น การปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงเหลือ 4.0% จากประมาณการในครั้งก่อนที่ 4.1% ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าและสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ปรับลดสมมติฐานรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เหลือ 2.05 ล้านล้านบาท จากประมาณการในครั้งก่อนที่ 2.15 ล้านล้านบาท ตามการลดลงที่มากกว่าคาดของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและยุโรปในช่วงไตรมาส 3 และแนวโน้มการฟื้นตัวที่คาดว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งส่งผลให้แรงขับเคลื่อนจากการส่งออกภาคบริการลดลงจากประมาณการในครั้งก่อน การปรับลดการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ ให้สอดคล้องกับผลการเบิกจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ 61 ซึ่งมีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ 19.9% ต่ำกว่าสมมติฐานการเบิกจ่ายที่ 23.5% แต่ปรับเพิ่มประมาณการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนซึ่งขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ และยังมีแนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/iq03/2916937    

21 ก.ย. 2563   152  
ข้อเสนอแนะ
ติดตามเรา